วิธีแต่งตัวสำหรับผู้หญิงสไตล์วินเทจ

วินเทจ (Vintage) แนวการแต่งตัวที่ต้องมีความเฉพาะตัวสูง เช่นเดียวกับการเป็นฮิปสเตอร์ เนื่องจากเกิดจากการมิกซ์แอนด์แมชท์ของแบบเสื้อผ้าที่หลากหลาย ผสมกันได้ทุกยุคทุกสมัยย้อนกลับไปเอาแบบเสื้อเมื่อร้อยปีมาใส่ก็ยังได้! (เจ๋งไปไหน!) ดังนั้นสาวๆที่กำลังมองหาแนวทางและเทคนิคแต่งตัวแนวนี้วันนี้เรามีเทคนิคมาฝากกัน

แม้คำว่าสไตล์ “วินเทจ” จะไม่มีคำจำกัดความที่ตายตัว แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าหมายความถึงการแต่งตัวที่มีการประยุกต์และมีการมิกซ์แอนด์แมชท์มาจากเสื้อผ้าที่มีแบบแพทเทิร์นเก่าๆ (ที่ในบางครั้งก็เก่าเองที่ตัวเสื้อผ้า) ดังนั้นสาวๆที่สนใจสไตล์นี้ควรเลือกเสื้อผ้าที่มาจากหลากหลายยุค เช่น หากเลือกเสื้อผ้ายุค 80s ก็ควรมีการเลือกเครื่องประดับ รองเท้าหรือกระเป๋าที่มาจากยุค 70s บ้างหรือ 90s บ้าง เพราะไม่เช่นนั้นคุณจะดูเหมือนหลุดออกมาจากคอสตูมหรือไม่ก็ดูพยายามมากเกินไป

แม้ว่าสาวๆบางคนจะสามารถแต่งวินเทจแบบสุดๆให้ดูชิคได้โดยไม่เหมือนหลุดออกมาจากละคร แต่คำแนะนำของเราคือคุณควรรักษาสมดุลที่ 50/50 ระหว่างเสื้อผ้าสไตล์วินเทจและเสื้อผ้าสมัยใหม่

3. เสื้อผ้าสมัยใหม่ที่ออกแบบแนววินเทจก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเสมอไปที่การแต่งตัวแนววินเทจต้องแต่งด้วยเสื้อผ้าเก่าหรือทรงเก่าๆจริงๆ เสื้อผ้าสมัยใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจและออกแบบเป็นแนววินเทจก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่แพ้กัน นอกจากจะคงคอนเซ็ปวินเทจแล้วรายละเอียด ฝีเย็บและเนื้อผ้าก็ยังได้คุณภาพ แถมยังอยู่ในสภาพที่ดีเหมาะแก่การสวมใส่

เสื้อแนววินเทจจากเกือบทุกยุค เหมาะที่จะนำมาสวมใส่กับสกินนี่ยีนส์ได้แบบเก๋ๆคู่กับบูทส้นสูง และอาจปิดท้ายด้วยเครื่องประดับที่บ่งบอกความเป็นตัวเรา หรือไม่ก็เลือกคาร์ดิแกนหรือสเว็ตเตอร์แนววินเทจสักตัวเพราะสามารถนำมาแมชท์กับเสื้อผ้าสมัยใหม่ได้เกือบทุกแบบโดยไม่ดูเชย

Don’t: หากคุณเพิ่งก้าวเข้าสู่โลกแนววินเทจ ควรหลีกเลี่ยงการนำเสื้อในยุค 70s และยุค 80s เพราะเป็นยุคที่ใกล้เคียงปัจจุบัน คุณอาจถูกมองว่าเชยเอาได้ หากจับแมชท์เสื้อผ้าพลาด

กระโปรงสไตล์วินเทจแบ่งได้ 2 สายคือ ยาวกร่อมเท้ากับยาวประมาณเข่า ก่อนจะถึงยุค80s/90s ในยุคก่อนหน้ากระโปรงถูกมองว่าไม่เหมาะสมที่จะสวมใส่นัก ยกเว้นยาวเลยเข่าไป ดังนั้นเพื่อชดเชยกับความยาวนี้ควรใส่คู่กับเสื้อผ้าสไตล์ตั้งแต่ปี 2000 ขึ้นไป ลองเลือกกระโปรงทรงเอหรือ circle skirt ก็จะช่วยแมชท์กับเสื้อผ้าสมัยใหม่ได้ไม่ยาก

Remember: กระโปรงวินเทจสีเรียบๆอย่าง ดำ น้ำตาล เขียวเข้ม คือตัวเลือกที่เริ่ดมากสำหรับตู้เสื้อผ้าของคุณ

ไซส์ของกาวเกงอย่าว่าแต่แนววินเทจเลย แม้แต่กางเกงสมัยใหม่ก็เลือกไซส์ให้พอดียาก ดังนั้นหากต้องการนำกางเกงแนววินเทจมาแต่งควรลองหลายๆรอบจนกว่าจะเจอไซส์ที่พอดี จากนั้นลองเลือกจับคู้กับเสื้อเชิ้ตสกรีนลายหรือสเว็ตเตอร์ใหม่พรมตัวหลวม

Recommended: ลองสวมเสื้อลายลูกไม้หรือเสื้อพิมพ์ลาย แล้วเก็บชายเสื้อใส่ไว้ในกางเกงก็จะช่วยให้ลุคของคุณดูทันสมัยที่มีกลิ่นอายของความเป็นสาววินเทจ

เดรสแนววินเทจ้ป็นอะไรที่ใส่ได้สนุกมาก เพราะใส่ได้หลายโอกาสและมิกซ์แอนด์แมชท์กับเครื่องประดับได้หลากหลาย เดรสวินเทจสามารถจับคู่ได้กับทั้งบูท รองเท้าส้นเตี้ยและรองเท้าสาน หมวกปีกกว้างเก๋ๆหรือหมวไหมพรมแบบ beanie จับคู่กับเครื่องประดับเก๋ๆทันสมัย

ในหลายๆครั้งลุคแนววินเทจก็สามารถลอยเด่นขึ้นมาได้ด้วยเครื่องประดับไม่กี่ชิ้น และนี้หมายถึงแอสเซสเซอร์รี่ที่ขาดไม่ได้อย่างการพันคอเก๋ๆและหมวก วันสบายๆคุณอาจเลือกสวมเสื้อยืดสกรีนลายเก๋คู่กับสกินนี่ยีนส์และบูทส้นเตี้ยแมชท์กับผ้าพันคอแนววินเทจสักผืน หรือหมวกวินเทจจับคู่กับเสื้อสเว็ตเตอร์พอดีตัวและยีนส์ตัวเก่ง คุณก็จะแปลงร่างเป็นสาววินเทจได้ไม่ยาก

ในหลายๆครั้งการเลือกรองเท้าที่เข้ากับตัวเองก็สามารถเปลี่ยนลุคการแต่งตัวของเราให้ดูโดดเด่นขึ้นหรือเปลี่ยนสไตล์ของวันนั้นไปเลย ดังนั้นรองเท้าแนววินเทจก็เช่นกัน ลองมองหารองเท้าแบบ lace-up boots และ oxford flats ไว้ติดตู้รองเท้าก็เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว

ที่นะขาดไม่ได้สำหรับสาวๆควหนีไม่พ้น เครื่องประดับ ซึ่งสำหรับสไตล์วินเทจแล้วนั้นเครื่องประดับจะช่วยเพิ่มกลิ่นอายของความเป็นวินเทจได้ดี แม้ว่าวันนั้นอาจจะใส่แบบแฟชั่นสมัยใหม่มาทั้งตัว แต่เครื่องประดับชิ้นใหญ่ๆแนววินเทจก็ช่วยให้คุณมีลุควินเทจเกร๋ๆดูน่ารักได้ไม่ยาก

• ยุค 1900’s โดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันในเสื้อผ้าแบบชุดเดรสลายลูกไม้ฟูฟ่อง คอร์เซ็ท และ collared tops

• ยุค 1910s เป็นยุครุ่งเรืองของ trench cost และบูทสำหรับผู้หญิง

• ยุค 1920s ยุคทองของสาวๆ flapper กับเดรสยาวและ slip-dress (เดรสสายสปาร์เก็ตตี้)

• ยุค 1960s ฮอตสุดกับยีนส์แบบขาม้า/กระดิ่ง (bringing bell bottom) เสื้อ paisley shirts และแฟชั่นที่มีสัญลักษณ์สันติภาพ